เที่ยว San Francisco ตอนที่ 1

เนื่องในวันหยุด Easter Day เราก็มาเที่ยว San Francisco เพื่อพักผ่อนเป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ทริปนี้ไม่โหดมากเน้นชิล นั่งเครื่องมาแค่ 2 ชั่วโมง 20 นาทีก็ถึง San Francisco พอมาถึงสนามบิน SFO ก็เดินออกมาซื้อตั๋ว 3 Days Pass (MUNI) ที่เค้าเตอร์ Information ตั๋วราคา $26 ตั๋วนี้ไว้ใช้ขึ้นรถเมล์ของ MUNI ใน San Francisco ได้ตลอดทั้งสามวันเลย

จากนั้นเดินออกมาขึ้นรถไฟฟ้า BART เพื่อนั่งจากสนามบินเข้าเมือง เราต้องซื้อตั๋วรถไฟ BART อีกใบ ที่เครื่องซื้อตั๋วจะมีราคาเริ่มต้นที่ $20 แต่จากสนามบินมาถึงแถวที่พักราคาแค่ $8.65 เราก็ต้องกดให้ราคาลดไปทีละเหรียญ จนถึงราคาที่เราต้องการแล้วค่อยสั่งจ่ายเงิน เราใช้บัตรเครดิตจ่าย แล้วนั่งรถเข้าเมืองประมาณครึ่งชั่วโมง

พอถึงสถานีก็เอากระเป๋าไปวางที่โรงแรม แล้วเดินไปซื้อซิมโทรศัพท์แบบใช้หนึ่งสัปดาห์ ค่าซิมและ Data รวม $30 จากนั้นนั่งรถเมล์ไป Pier 33 กะจะไปเกาะ Alcatraz แต่ตั๋วเต็ม (ใครที่อยากไป Alcatraz ควรจองล่วงหน้าในเว็บอย่างน้อย 2 อาทิตย์)

เลยเดินไป Pier 39 แค่ 5 นาทีก็ถึง เราวางแผนจะไปกินอาหารกลางวันที่ร้าน Fog Harbor Fish House กัน

ระหว่างรออาหารมีขนมปัง Sour Dough มาให้กินก่อน อร่อยดี

ลองสั่งมาสองจานฮิตๆ มี Seafood Platter มีกุ้ง หอย และปูครึ่งตัว $37 เป็นอาหารทะเลปรุงมาในเนยกระเทียมเค็มๆหอมๆ เวลากินบีบมะนาวเลมอนนิดนึงตัดเลี่ยน อาหารทะเลสดดี

ส่วน Clam Chowder ใส่ปูเพิ่ม $16 ซุปร้านนี้รสจะเบาๆกว่าแบบที่เคยกินที่ Seattle รสนุ่มนวลไม่เลี่ยน เครื่องเยอะทั้งหอยและปู ปูสดหวานดี สรุปร้านนี้รสชาติดี ราคาแรงตามปกติของสถานที่ท่องเที่ยว เอาไปสี่ดาว ถ้าโชคดีจะได้นั่งติดหน้าต่างดูวิวไปด้วย แต่ถ้าอยากดูวิวแบบเต็มๆร้านอาหารร้านในสุดได้เห็นวิวชัดกว่านี้แต่ไม่รู้ว่าอาหารเป็นยังไง

กินเสร็จแล้วก็เดินดูร้านรวงต่างๆมีทั้งร้านอาหาร ขนม ของฝาก

เดินไปเรื่อยๆก็จะถึงตรงที่สิงโตทะเลมานอนอาบแดด สิงโตทะเลนอนอืดดูน่ารักดี มีร้องอี๊ดๆเป็นระยะๆ ดูเพลินแต่กลิ่นคาวสิงโตทะเลแรงไปหน่อย ข้อดีของที่นี่คือจะมีที่สาธารณะให้เราเดินกินลมชมวิว ไม่ใช่วิวดีๆโดนร้านอาหารเอาไปหมด

จากนั้นก็เดินย้อนไปเรื่อยถึง Fisherman Ghetto ตรงแผงขายอาหารทะเลมีทั้งปูต้ม Lobster, Clam Chowder ขาย ดูคล้ายๆกันทุกร้าน ราคาก็ไม่ได้ถูกกว่ากินที่ร้านอาหารเท่าไหร่

เดินต่อไปเรื่อยๆ ถึง Ghirardelli Square เป็นร้านต้นตำหรับที่ชายไอติมและชอคโกแลต เราก็ต่อคิวสั่งไอติม เมนูก็แบบที่เราคุ้นเคยใน Swensens

วันนี้สั่ง Treasure Island (Warm Brownie Sunday) เราสั่งแบบเอากลับบ้านเพราะทีแรกนึกว่าไม่มีที่นั่ง พอได้ไอติมมีที่ว่างพอดีเลยขอนั่่งชิลซักนิด ไอติมที่สั่งเป็นไอติมวนิลาราดชอคโกแลตฟัดจ์ใส่บราวนี่และโปะวิปครีมแต่งด้วยเชอรี่ ไอติมเป็นแบบโบราณ ไม่ได้กลิ่นวนิลาแท้ ซอสชอคโกแลตหวานเข้มข้น บราวนี่หนึบและหวานเกิน วิปครีมเบาฟูดี สรุปว่าได้อารมณ์แบบไอติมโบราณ กินเกือบไม่หมดเพราะหวานเกิน เอาไปสองดาว

นอกจากไอติมก็มีชอคโกแลตขายด้วย และในสแควร์แห่งนี้ก็มีร้านไอติมและร้านชอคโกแลตของ Ghirardelli อีกร้านนึงมีทุกอย่างให้กินให้ซื้อเหมือนกันแต่ไม่มีหม้อชอคโกแลตกวนให้ดูในร้านเหมือนร้านดั้งเดิม ไม่ค่อยมีคน เหมาะกับคนที่ขี้เกียจต่อคิว

นอกจากร้านไอติม ที่นี่ยังมีร้านคัพเค้กที่อร่อยมากๆอีกร้านนึง Kara’s Cupcakes เราไปเย็นแล้วรสฮิตๆอย่าง red velvet ก็หมดไปแล้ว เราก็เลยสั่ง chocolate velvet และ sel de Fleur มาแทน เค้กชอคโกแลตเทพมาก เนื้อนุ่มละมุนไม่หวานเกิน ตัวฟรอสติ้งก็ครีมมี่เนียนเข้มข้นไม่หวานมาก เอาไปห้าดาว

หลังจากกินอิ่มก็เดินขึ้นเขาไป Lombard street กันถ่ายรูปแชะๆตามประสานั่งท่องเที่ยว แล้วก็นั่งรถเมล์เข้าเมืองไปหาไรกินต่อ

อาหารเย็นวันนี้เราไปกินก๋วยเตี๋ยวเรือที่ร้านเส้นใหญ่ สั่งรัวๆตามนี้ ก๋วยเตี๋ยวเรือนำ้ตกหมู เนื้อ รู้สึกว่ารสเนื้อจะเข้มข้นอร่อยกว่า ให้เครื่องมาครบครันทั้งหมู/เนื้้อลวก ลูกชิ้น แคบหมู นำ้ก๋วยเตี๋ยวเข้มข้น อร่อยไม่ต้องปรุงเพิ่ม

จานต่อมา เส้นใหญ่เย็นตาโฟรู้สึกหวานไปหน่อย แต่ก็ยังใช้ได้

จานต่อมา ปลาดุกผัดพริกขิง ปลาดุกทอดมากรอบเกรียวดี แต่นำ้พริกมีกลิ่นข่าแรงไปนิด รสเค็มนำ เราชอบแบบที่หวานกว่านี้นิดนึง มีของหวานขายด้วย เราซื้อขนมถ้วยมา รสอร่อยแต่ตัวขนมยังไม่หนึบเท่าไหร่ และเม็ดขนุนอันนี้อร่อยห้าดาว เนื้อถั่วกวนนุ่มเนียน ไม่หวานเกิน สรุปไปร้านนี้ต้องสั่งก๋วยเตี๋ยวเรือและเม็ดขนุน ห้าดาวไปเลยร้านนี้ จบแล้วสำหรับวันแรก รอติดตามตอน 2 นะคะ

Send this to a friend