ประสบการณ์การพูดที่ International Conference

การมาประชุมครั้งนี้มีความประทับใจเกิดขึ้นหลายๆอย่าง มีทั้งประสบการณ์ดีๆ และประสบการณ์เบลอๆ

  1. Open plenary session โดยปกติก็จะมีแค่คนสำคัญๆมาพูดแต่คราวนี้มีวงแจ๊ซมาเล่นสดคั่นหลังแต่ละคนพูด ซึ่งเล่นได้เลิศมากประทับใจ นอกจากนี้ยังมีการไว้อาลัยแด่บุคคลสำคัญในวงการที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกที่ยูเครน พอตอนจบก็มีวง Chaotic Noise Marching Corps มาเล่น เราไม่เคยดูวงอะไรเล่นแนวนี้มาก่อนสนุกดี ลองดูตัวอย่างคลิปได้ตามนี้ www.youtube.com/watch?v=b4jISAw-S1I
  2. การวางโปรแกรมน่าสนใจ มีการแบ่งกลุ่มเรื่องพูดได้ดี คู่มือประกอบการประชุมแม้จะละเอียดแต่ก็เข้าใจง่าย ชอบมากถึงขั้นเก็บมาเป็นที่ระลึก และมีแอปให้โหลด บอกรายละเอียดการประชุมและมี notification เตือนเวลามีรายการสำคัญๆ
  3. สถานที่จัด Washington State Convention Center อยู่กลางเมือง Seattle เดินทางสะดวก อันนี้สำคัญเพราะเท่าที่ไปประชุมเมืองอื่นถ้าเป็น convention center ของเมืองนั้นเช่น Chicago หรือ Florida จะอยู่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยว แต่ที่นี่หลังประชุมเราสามารถไปเดินเที่ยวเล่นต่อได้เลย
  4. เนื่องจากการประชุมอันนี้มีคนสำคัญในวงการมากันเยอะเราก็จะเห็นว่าครูเราเข้าไปสร้าง connection ยังไง การเข้าไปพูดคุยทำยังไง พูดยังไงให้เค้าสนใจอยากจะมาร่วมงานด้วยกัน
  5. สิ่งที่ชอบอีกอันหนึ่งคือ Posters, Walks and Talk เราไม่เคยเห็นที่ประชุมอื่นเลย จะมีผู้เชี่ยวชาญของวงการมานำเราดูโปสเตอร์ในงาน ข้อดีคือเค้าจะสามารถสรุปเหมือนสอนเราได้เร็วมากๆ และจะตั้งคำถามกับเจ้าของโปสเตอร์น่าสนใจ แต่เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญก็ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะรู้ลึกไปซะทุกเรื่อง ดังนั้นเราคือฟังเป็นไอเดียแต่ไม่ใช่เชื่อทุกอย่างที่เค้าพูด
  6. การเตรียมความพร้อมให้กับคนพูด oral presentation จะมีห้องให้เราโหลดไฟล์ มีโพเดี่ยม มีเมาส์ให้คลิ้กเหมือนตอนเราพูดจริงให้เราซ้อมก่อน ใฟ้เราเช็คสไลด์ว่ามีอะไรต้องแก้ไหม มีโน๊ตเล็กๆให้ว่าเราพูดวันไหน กี่โมง ต้องไปถึงห้องที่พูดกี่โมง … เราก็ทำตามกระบวนการเรียบร้อย แต่พอเอาสไลด์ขึ้นกลับไม่เหมือนที่เราอัพโหลดเพราะอะไรบางอย่างระหว่างแมคกับพีซี เราก็เช็คกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง เค้าก็บอกว่าตอนพูดจริงมันจะไม่เปลี่ยนมันจะถูกต้องตามไฟล์เดิมของเรา
  7. ปรากฎว่าตอนพูดจริง สไลด์เปลี่ยนค่ะ แทบสิ้นสติแต่ก็พูดตามสคริปท์ที่่เตรียมมา เพื่อนที่ฟังก็บอกเราดูไม่ออกว่าตอนไหนที่เรามีปัญหา แต่ก็ทำให้เราพูดยาวกว่าที่คิดหน่อยนึง
  8. ก่อนขึ้นพูด เราเตรียมพูดเรื่องนี้เป็นเดือนๆ แต่ก็ยังตื่นเต้น คืนก่อนวันจริงนอนตื่นทุกสองชั่วโมงเพราะกลัวตื่นสายไปพูดไม่ทัน พอไปถึงห้องที่พูดเราก็ไปแนะนำตัวกับ moderator และเจ้าหน้าที่ควบคุมเครื่องคอม ซ้อมการใช้เมาส์ที่โพเดี่ยมจริง แล้วก็นั่งรอเวลา เราพูดคนที่สี่ ตอนที่คนแรกพูดเราพยายามจะท่องสคริปท์แต่ตอนนั้นสมองดับไปแล้ว พอคนที่สองพูดเราเลยเปลี่ยนเป็นฟังคนอื่นพูดแทน แต่หูคือไม่ได้ยินอะไร หัวใจเต้นแรงมากมือสั่นตลอด แต่พอถึงคนที่สามเริ่มพูดเราเริ่มกลับมาปกติ หัวใจเต้นช้าลง มือเริ่มปกติ คิดอย่างเดียวเราต้องทำให้ได้ เราจะ fight for it อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
  9. พอถึงเวลาเค้าประกาศชื่อเราเราก็ก้าวขึ้นเวทีอย่างระมัดระวังเพราะกลัวตกส้นสูง แล้วเราก็เริ่มพูดไปเรื่อยๆตามที่เตรียมมา พยายามมองคนฟังที่เรามองไม่เห็นเพราะไฟสาดมาจ้ามาก ชำเลืองดูหน้าอาจารย์ที่ปรึกษาว่ายังพอใจอยู่ไหม ตอนท้ายพูดเร่งนิดๆเพราะกลัวเกินเวลา แต่ก็พูดจบในเวลาพอดี พอถึงช่วงตอบคำถาม โชคดีที่คำถามทั้งสองอันเราตอบได้ก็เลยรู้สึกดีใจมาก เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาเคยบอกว่าคนฟังเค้าจะถามเราแค่หนึ่งหรือสองคำถามเท่านั้น ดังนั้น you need to nail it!
  10. ตอนพูดจบเราได้ขอบคุณผู้สนับสนุนงานวิจัย BC oral cancer prevention program, University of Heidelberg, Germany และทุนอานันทมหิดลจากประเทศไทย อันนี้ปลื้มใจสุดเพราะเวลาเราไปฟังใครพรีเซนท์เราก็อยากมีโอกาสพูดแบบนี้บ้าง อยากให้คนอื่นรู้ว่าคนจากประเทศไทยเราก็มาพูดเหมือนกันนะจากนั้นเราก็พยายามเดินลงบันไดอย่างระมัดระวังและมานั่งข้างอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์พูดแค่ว่า Yeah! It’s done. Finally, it’s over. ยิ้มแล้วกอดเราทีนึง เราได้แต่ขอบคุณแบบปลื้มปริ่ม คือเราไม่ได้เหนื่อยคนเดียว งานนี้ครูก็ต้องตรวจงานเราทุกวันไม่เว้นวันเสาร์อาทิตย์

สุดท้าย เราอาจจะไม่ได้ทำทุกอย่างดีเลิศไม่มีที่ติ แต่เราได้พยายามอย่างที่สุดแล้ว เตือนตัวเองว่าวงการนี้ไม่มีที่สำหรับคนขี้เกียจ ทุกคนทำงานหนักกว่าจะได้มาถึงตรงนี้ โชคอาจเป็นส่วนหนึ่งแต่หากคุณมีโชคแต่ไม่มีการเตรียมพร้อม ไม่ทำงานหนัก ไม่มีทางที่จะก้าวหน้าในเส้นทางนี้

Send this to a friend